โดย อ. ขจร ใบนา
ดิฉันได้อ่านหนังสือ “พ่อแม่ส่งต่อคบเพลิงแห่งความเชื่อเถิด” เขียนโดย จอห์น เอ็ม เดรสเชอร์ แล้วแทบวางไม่ลงเลยละค่ะ เพราะเนื้อหาแต่ละหน้ามีคำหนุนใจและเตือนสติดิฉันในการเป็นแม่ที่จะส่งต่อคบเพลิงแห่งความเชื่อให้กับลูกๆ ดิฉันอ่านจบในเวลา 1 ชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาที่มีคุณค่าจริงๆ
ต่อไปนี้ดิฉันขอถ่ายทอดคำหนุนใจและเตือนสติของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ให้ฟังนะคะ
1. ไม่มีสถานที่ใดในชีวิตที่มีอิทธิพลต่อบุคคลได้มากเท่ากับครอบครัว พ่อแม่จะมีอิทธิพลต่อลูกๆไม่ว่าพวกเขาต้องการหรือไม่ต้องการ มีคำถามเดียวเท่านั้นว่า พ่อแม่ได้ทิ้งมรดกประเภทใดไว้ให้กับลูกๆของพวกเขา ขอยกตัวอย่างนะคะ เบ็นอายุ 5 ขวบ เป็นลูกชายที่น่ารักของพ่อแม่ วันหนึ่งเบ็นวิ่งไปหาคุณแม่ในห้องครัว “แม่ครับ วันนี้เป็นวันเกิดของคุณพ่อ ผมทำความดีให้คุณพ่ออย่างหนึ่งครับ” แม่ถาม “ลูกทำอะไรล่ะ บอกแม่ได้มั้ยจ๊ะ” ลูกตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า “ผมช่วยล้างโน๊ตบุ๊คให้คุณพ่อ มันสกปรก ฝุ่นเขรอะเลย ตอนนี้ผมแช่มันไว้ที่อ่างน้ำครับ” แม่ตกใจ “อะไรนะ!” “มานี่ๆ” แล้วก็กระชากแขนลูกไปที่อ่างน้ำ “พังหมดแล้ว ลูกรู้เปล่าทำอะไรลงไป ทำไมเอาโน๊ตบุ๊คพ่อมาแช่น้ำอย่างนี้” เธอตวาดลูกด้วยความโมโห เบ็นยืนตัวสั่นมองแม่ด้วยความไม่เข้าใจว่าการทำความดีให้พ่อจะทำให้แม่โกรธได้ขนาดนี้ เบ็นจึงร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อพ่อได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกและเสียงตำหนิของภรรยาต่อลูกชายก็ลุกจากเตียงนอนเดินไปที่ห้องน้ำ ก็เห็นโน๊ตบุ๊คของตนเองแช่อยู่ในอ่างน้ำอย่างสลดใจ เมื่อเบ็นเห็นสีหน้าพ่อก็กลัวมากขึ้นเพราะคิดว่าพ่อต้องตีเขาแน่ๆ พ่อหันไปตบบ่าแม่ “ไม่เป็นไรๆคุณ เสียแล้วก็เสียไปอย่าด่าลูกเลย” แม่ตกใจ “คุณว่าอะไรนะ นั่นมันของรักของหวงของคุณเชียวนะ” พ่อบอกว่า “เออน่าคุณ โน๊ตบุ๊คเป็นของรักอย่างที่ 2 ของผม” แล้วพ่อก็ย่อตัวลงไปกอดลูกที่ยืนร้องไห้ตัวสั่น “สิ่งแรกที่ผมรักที่สุดคือคุณกับลูกต่างหาก ผมทนไม่ได้ที่เห็นคุณโมโหและลูกเอาแต่ร้องไห้”
คุณพ่อคนนี้กำลังส่งต่อคบเพลิงแห่งความเชื่อ ดังพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ จงรักกันและกันให้มาก เพราะความรักให้อภัยบาปมากมายได้” (1 ปต. 4:8)
2. การสอนของพ่อแม่ที่มีต่อลูกควรเป็นเรื่องวันต่อวันและทุกขณะ พระคำของพระเจ้าแนะนำพ่อแม่ว่า ไม่ใช่สอนแบบขอไปที การสอนต้องต่อเนื่องและสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังพระคำของพระเจ้าที่กล่าวว่า “พวกท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของพวกท่าน และจงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทางและนอนลงหรือลุกขึ้น จงเอาถ้อยคำเหล่านี้ผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญญาลักษณ์ และจงเขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้านและที่ประตูของท่าน” (ฉธบ. 6:5-9)
ความเชื่อของเด็กควรจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจากชีวิตประจำวัน จากความสุข จากความชื่นชมยินดี และความปลื้มปิติ ความเชื่อของเด็กจะเพิ่มพูนได้จากคำถามของเค้าที่มีต่อพ่อแม่ที่จะตอบให้เด็กเข้าใจ อีกวิธีหนึ่งที่เป็นวิธีธรรมชาติที่เด็กจะเพิ่มพูนความเชื่อ คือผ่านรูปภาพต่างๆที่แขวนไว้ในบ้าน เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ที่มีบทบาทสำคัญที่ช่วยกู้ และช่วยเหลือครอบครัวให้ผ่านพ้นจากวิกฤตต่างๆมาได้ด้วยพระเมตตาจากพระองค์ เช่นภาพพระเยซูทรงเลี้ยงแกะ หรือภาพพระเยซูเป็นกัปตันเรือที่ยืนจับหางเสือของเรือในระหว่างเผชิญกับพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง เป็นต้น
3. การทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว บรูคส์ อดัมส์ เป็นบุตรชายของท่านทูตแห่งอังกฤษชื่อ ชาร์ลส์ ฟรานซิส อดัมส์ ในวัยเด็กเค้าบันทึกไว้ในไดอารี่ของเขาว่า “การไปตกปลากับคุณพ่อเป็นวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผม” จนเขาอายุ 30 ปีแล้วเขาก็ประทับใจในเหตุการณ์นี้ ซึ่งเขาสัญญากับตนเองว่า เมื่อเขามีครอบครัวเขาจะทำอย่างนี้เหมือนที่พ่อได้ทำ แต่ทว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เขามาทราบทีหลังว่าพ่อของเขาได้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในไดอารี่ว่า “การไปตกปลากับลูกชายของผมเป็นวันที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์”
แม่ควรปลูกฝังการทำกิจกรรมร่วมกันตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน เมื่อถึงบ้านควรเล่นกับลูกบ้าง เหมือนคุณพ่อท่านนี้ยอมให้ลูกขี่หลังแล้วคลานอยู่บนพื้น จนเพื่อนคนหนึ่งมาเห็นจึงถามเขาว่า “ทำไมคุณยังเล่นกับลูกได้อีก ทั้งที่เหน็ดเหนื่อยมาจากที่ทำงานทั้งวัน” เขาตอบว่า “ผมยอมปวดหลังตอนนี้ดีกว่าต้องปวดหัวใจในอนาคต” โดยการเล่นเด็กๆจะพัฒนาความรู้สึกอบอุ่นในการอยู่ร่วมกัน ข้อคิดในวันนี้ “ครอบครัวที่อธิษฐานร่วมกัน ย่อมอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน” เราสามารถเพิ่มข้อความนี้เป็นข้อคิดหนุนใจด้วยคือ “ครอบครัวที่เล่นด้วยกัน ย่อมอยู่ด้วยกันยั่งยืน” ขอพระเจ้าอวยพรและเสริมกำลังทุกท่านนะคะ
พระคำหนุนใจ
…เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องสมควรยิ่งเพราะความเชื่อของท่านจำเริญขึ้น และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นด้วย 2 เธสะโลนิกา 1:3