มนุษย์ เราไม่ได้เกิดมาเพราะความบังเอิญจากการระเบิดของจักรวาล ไม่ได้เกิดมาจากการวิวัฒนาการ เพราะสิ่งที่เป็นระบบระเบียบนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ มนุษย์เกิดจากการสร้างขึ้น ซึ่งพระคัมภีร์บอกไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าเป็นคนสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ดังนั้นการจะหาคำตอบว่าเราเกิดมาทำไมที่ดีที่สุดก็คือ เราต้องหาว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อะไร
1. พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายา ตามอย่างของพระองค์หมายความว่าพระเจ้าสร้างเราทุกคนให้คล้ายกับพระองค์ ดังนี้
1.1 ด้านจิตใจ พระเจ้าทรงสร้างให้มนุษย์เป็นคนมีเหตุมีผล และสามารถเลือกที่จะตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ได้ สิ่งนี้สะท้อนพระลักษณะพระเจ้าด้านสติปัญญาและความมีอิสระของพระองค์ ส่งผลให้มนุษย์มีอิสระที่จะคิดและทำตามที่ตนเองเห็นชอบได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เราทำสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเขียนหนังสือ วาดรูป หรือตั้งชื่อสัตว์เลี้ยง เราก็กำลังสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าอยู่
1.2 ด้านศีลธรรม พระเจ้าสร้างให้มนุษย์เราเป็นคนบริสุทธิ์และชอบธรรม เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงเห็นว่าดี (ปฐมกาล 1:31) อย่างไรก็ตามความบาปได้เข้ามาในโลก ทำให้มนุษย์คิดและทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมก็ยังคงอยู่ในจิตใต้สำนึกมนุษย์ทุกคน เราจึงชื่นชมคนที่ทำดี หรือออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้สังคมอยู่อย่างสงบสุข มีความยุติธรรม และมีความเท่าเทียมกัน หรือเรารู้สึกผิดเมื่อทำอะไรที่ไม่ดีลงไป นั่นเป็นเพราะเรากำลังสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้านั่นเอง
1.3 ด้านสังคม มนุษย์ถูกสร้างให้อยู่รวมกันเป็นสังคม ต้องการเพื่อน ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
พระเจ้าสร้างมนุษย์มาทำไม?
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทุกคนด้วยความรัก และปรารถนาที่จะให้มนุษย์ได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ให้พิเศษกว่าสิ่งทรงสร้างอื่น ๆ และได้มอบหมายหน้าที่ต่าง ๆ ให้มนุษย์ไว้ด้วย
ความวิตกกังวลคืออะไร?
คือปัญหาที่เข้ามาแล้วดูเหมือนใหญ่และไม่มีทางออก มีหลายสิ่งในชีวิตของเราที่อาจผิดพลาดได้ ที่อาจล่อลวงเราให้ใช้เวลาในแต่ละวัน ในการกังวล บางคนเป็นไปได้สำหรับเราที่จะตกงาน หรือประสบอุบัติเหตุ หรือล้มเหลวในธุรกิจการงานหรือสูญเสียผู้เป็นที่รักหรือโรคที่รักษาไม่หายหรือร้อยแปดพันประการที่จะทำจิตให้จิตใจของเราเต็มไปด้วยความกังวล
พระเจ้าทรงเข้าใจความกังวลของเราต่ออนาคตแต่พระองค์ พระองค์ไม่ทรงต้องการให้เราเต็มไปด้วยความกังวลต่อสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงอยู่กับเราในวันรุ่งขึ้นไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรอย่าให้ความห่วงใยเกี่ยวกับวันพรุ่งนี้มาทำลายสันติสุขที่พระเจ้าทรงต้องการให้ท่านในวันนี้
พระคำของพระเจ้าตรัสว่า อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์ ฟิลิปปี 4 :6 – 7
ความบาปคืออะไร?
เมื่อพูดถึงความบาป พระคริสตธรรมคัมภีร์หมายถึง “การผิดพระประสงค์ของพระเจ้า” หรือ “การตกต่ำจากมาตรฐานของพระเจ้า” หรือ “การไม่เชื่อฟังพระเจ้า” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเน้นที่ท่าทีภายในความคิดจิตใจของมนุษย์มากกว่าการกระทำ เพราะการกระทำสิ่งที่ไม่ดีและทำความชั่วร้ายทั้งปวงล้วนเกิดมาจากความคิดจิตใจที่ตกต่ำจากมาตรฐานของพระเจ้านั่นเอง
ความบาปส่งผลต่อเราอย่างไร?
ความบาปทำให้มนุษย์ทำสิ่งที่เลวร้าย ยิ่งกว่านั้นอีก ความบาปจะนำมนุษย์ไปสู่กฎของความยุติธรรมของพระเจ้า แม้พระเจ้าจะรักมนุษย์มากเพียงไร แต่เพราะพระองค์ได้วางโทษไว้แล้วว่า “ถ้าเจ้าขืนกินในวันใด เจ้าจะตายในวันนั้นเป็นแน่” ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องพิพากษาโทษมนุษย์ซึ่งโทษนั้นก็คือ “ความตาย”
เมื่อกล่าวถึงความตาย พระคริสตธรรมคัมภีร์หมายถึงความตาย 3 ลักษณะ คือ
- ตายฝ่ายวิญญาณคือ การที่มนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า จิตใจของมนุษย์จึงไม่มีวันอิ่มและรู้สึกขาดสันติสุข เราจึงพยายามแสวงหาความสุขอื่น ๆ มาทดแทน แต่จนแล้วจนรอดเราก็ยังรู้สึกขาดอะไรไปอย่าง สิ่งนั้นคือ “สัมพันธภาพกับพระเจ้า”
- ตายฝ่ายร่างกายหมายถึงการที่วิญญาณแยกออกจากร่างกาย มนุษย์ทุกคนต้องตาย แม้ว่าจะพยายามหลีกหนีความตายอย่างไรก็หนีไม่พ้น ความตายเป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์
- ตายชั่วนิรันดร์หมายถึง การถูกลงทัณฑ์ทรมานในนรกบึงไฟ ถ้าเรายังไม่กลับใจใหม่ ไม่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ สักวันหนึ่งเมื่อการพิพากษาสุดท้ายมาถึง เราจะต้องตายชั่วนิรันดร์แน่นอน
การอธิษฐานคืออะไร?
การอธิษฐานคือการที่เราพูดคุยกับพระเจ้า พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการอธิษฐาน การอธิษฐานนั้นสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา หลายครั้งเราเห็นพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน (มัทธิว 14:23) พระเยซูทรงอธิษฐานในที่เปลี่ยว (ลูกา 5:16) ในสวนเกทเสมนี (มัทธิว 26:36 – 46) หรือแม้แต่บนกางเขนพระเยซูก็ทรงอธิษฐาน (ลูกา 23:34, 46) การอธิษฐานเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพระเยซู ซึ่งเหล่าสาวกและคนที่อยู่รอบข้างก็สามารถสังเกตได้จนพวกสาวกต้องทูลขอพระเยซูให้สอนพวกเขาอธิษฐาน (ลูกา 11:1)
เมื่อการอธิษฐานคือการพูดคุยกับพระเจ้า แล้วเราจะคุยอะไรกับพระเจ้า? หลายคนเวลาคุยกับพระเจ้าก็มีแต่รายการต่าง ๆ มากมายที่ต้องการจะขอ หรือบางครั้งการอธิษฐานของเราก็เหมือนกับการท่องบทอะไรบางอย่างที่พูดซ้ำ ๆ กันทุกครั้ง และที่แย่ที่สุดคือ บางครั้งที่เราอธิษฐาน เราก็ไม่มั่นใจว่าจะมีใครฟังเราหรือเปล่า หรือว่าเรากำลังพูดอยู่คนเดียวกันแน่?
แท้จริงแล้วการอธิษฐานของคริสเตียนก็คือการที่เรากำลังมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เหมือนกับการที่เราพูดคุยกับเพื่อน ยิ่งคุยกันมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้จักและสนิทกันมากขึ้น เช่นเดียวกัน ยิ่งเราอธิษฐานมากเท่าไร เราก็ยิ่งพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าให้สนิทกันมากขึ้นเท่านั้น อยากให้เราลองนึกถึงความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตครอบครัว หรือกับเพื่อน ๆ ถ้าหากเรามีการสื่อสาร มีการพูดคุยที่ไม่ดี ก็จะทำให้มีปัญหากับคู่ครอง มีปัญหาในการไม่เข้าใจลูก ๆ หรือมีปัญหาทะเลาะกับเพื่อนของเราได้ เช่นเดียวกัน ถ้าหากการอธิษฐานของเรากับพระเจ้ามีแต่การขอ และขอ และขอ เราก็จะไม่มีการพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์เลย การสื่อสารต้องมี 2 ทาง คือเราต้องพูดกับพระเจ้า และต้องฟังพระองค์ตรัสกับเราด้วย
เราควรอธิษฐานอย่างไร
การอธิษฐานไม่มีสูตรสำเร็จหรือรูปแบบที่แน่นอนว่าถ้าเราพูดแบบนี้ ก็จะต้องได้ผลลัพท์ออกมาแบบนั้น แท้จริงการอธิษฐานคือการมอบความหวังหรือความต้องการของเราไว้กับพระเจ้า และยินยอมให้พระองค์เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดและความเข้าใจของเราให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์
ใน มัทธิว 6:5 – 15 พระเยซูทรงสอนว่า เมื่ออธิษฐาน อย่าอธิษฐานต่อหน้าคนอื่นเพื่อจะได้หน้าว่าตนเองเป็นคนเคร่งในศาสนา แต่ให้อธิษฐานในที่ลับแล้วพระเจ้าจะประทานบำเหน็จให้ และอย่าพูดซ้ำไปซ้ำมา อย่าคิดว่าพูดมากหลายคำแล้วพระเจ้าจะฟัง เพราะพระเจ้าทรงรู้อยู่แล้วว่าเราต้องการอะไร ให้จำไว้ว่าจุดมุ่งหมายของการอธิษฐานไม่ใช่แค่การขอเท่านั้น แต่เป็นการพูดคุยกับพระเจ้า เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์
พระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไร?
พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ที่ประกอบไปด้วยพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธ์ ซึ่งทั้งสามพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อพูดถึงคำว่าวิญญาณ หลายคนคงนึกถึงสะสารหรือพลังงานบางอย่างที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เป็นพลังงานแบบนั้น พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่เราสามารถมีความสัมพันธ์พูดคุยได้ พระเยซูบอกเราว่าหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พระองค์จะใช้องค์ผู้ช่วยหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์มาหาพวกเรา หน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือสำแดงสิ่งที่เป็นของพระเยซูให้เราได้รับรู้ (ยอห์น 16:14)
เมื่อแรกเริ่มที่พระเจ้าทรงสร้างโลก พระวิญญาณของพระเจ้าหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงอยู่ที่นั่นด้วย (ปฐมกาล 1:1 – 2) และใน วิวรณ์ 22:17 พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้เชิญชวนให้มารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย จะเห็นได้ว่าพระคัมภีร์เริ่มต้นและจบลงด้วยการสถิตอยู่ด้วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระบุตรเลย ดังนั้นเราควรที่จะมาทำความรู้จักกับพระองค์ว่าแท้จริงแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์พระองค์ทรงมีพระลักษณะเป็นอย่างไร
1.พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมส่วนใหญ่จะใช้คำว่าพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์ได้บอกเราว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้าพระบิดาและพระเจ้าพระบุตร (พระเยซู) ตั้งแต่ก่อนที่จะมีกาลเวลา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ด้วยเมื่อตอนสร้างโลก (ปฐมกาล 1:1 – 2, สดุดี 33:6) และพระเจ้าพระบิดาอยู่ที่ไหน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงอยู่ที่นั่น เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงทำพันธกิจร่วมกับพระเจ้าพระบิดา (อิสยาห์ 61:1)สำหรับในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เปโตรได้พูดย้ำว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ใน กิจการ 5:1 – 4 เมื่ออานาเนียขายที่ดินและถวายเงินบางส่วนให้แต่โกหกว่าได้ถวายเงินให้ทั้งหมด เปโตรถามว่าทำไมถึงได้โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านไม่ได้โกหกมนุษย์แต่โกหกพระเจ้า
ใน 1 โครินธ์ 2:10 – 12 บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหยั่งรู้ความล้ำลึกของพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากนี้ในพระคัมภีร์ยังได้พูดถึงพระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่บ่อย ๆ ซึ่งแสดงถึงความเป็นพระเจ้าของทั้ง 3 พระองค์ อย่างใน 2 โครินธ์ 13:13 เปาโลได้พูดถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่แตกต่างกันแต่อยู่ในสถานะเท่าเทียมกัน ซึ่งทั้งสามพระองค์ก็คือพระเจ้า หรือเมื่อพระเยซูกำลังจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ได้มอบพระมหาบัญชาแก่สาวกของพระองค์ใน มัทธิว 28:19 ที่ให้บัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเป็นพระเจ้าของแต่ละพระองค์นั่นเอง
2.พระองค์เป็นบุคคล
แม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นจะไม่มีร่างกายเหมือนมนุษย์ แต่พระองค์ก็ทรงมีพระลักษณะที่เป็นบุคคลด้วย พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าพระองค์ทรงตรัส (กิจการ 13:2) พระองค์ทรงสอน (ยอห์น 14:26) พระองค์ทรงนำ (กิจการ 8:29) พระองค์ทรงเดินเคียงข้างเรา (กาลาเทีย 5:16) พระองค์ทรงเสียพระทัย (เอเฟซัส 4:30) เป็นต้น การที่พระองค์ทรงมีพระลักษณะต่าง ๆ แบบนี้ จึงเป็นการยืนยันความเป็นบุคคลของพระวิญญาณบริสุทธ์ซึ่งผู้เชื่อทุกคนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพระองค์ได้ นอกจากนี้ในพระธรรมยอห์น บทที่ 14 – 16 พระเยซูได้ยืนยันถึงความเป็นบุคคลของพระวิญญาณบริสุทธิ์เอาไว้ พระเยซูเรียกพระองค์ว่า “ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง” (ยอห์น 14:16, 26, 15:26, 16:7) พระเยซูพูดถึงองค์ผู้ช่วยที่จะเสด็จมาเมื่อพระองค์จากไปอยู่กับพระบิดาพระองค์ทรงพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ในลักษณะที่พระองค์ทรงเป็นบุคคล ไม่ใช่พลังงาน และการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราทุกสิ่ง (ยอห์น 14:26) ก็เป็นการสะท้อนถึงความเป็นบุคคลของพระองค์ เพราะพลังงานคงไม่สามารถสอนเราได้และนี่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนที่พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สถิตอยู่กับเราและประทับในเราเพราะพระองค์ทรงเป็นบุคคลที่ให้คำปรึกษาแก่เราได้
3.พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จมาหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์คือผู้ช่วยเราให้รู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีหลากหลายอย่าง เช่น
– ทรงทำให้เรารู้จักความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษาที่จะมาถึง (ยอห์น 16:8)
พระองค์ทรงทำให้เรารู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้จากสภาพแวดล้อมและสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เช่น ผ่านทางคำสั่งสอนของพ่อแม่ ผ่านความผิดหวังที่เข้ามาในชีวิต ผ่านทางสถานการณ์ต่าง ๆ หรือผ่านทางคำเทศนาของนักเทศก์ เป็นต้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะฟ้องเราเมื่อเราทำผิดทำบาป ทั้งนี้เพื่อที่เราจะได้สารภาพบาปของเราต่อพระเจ้า ขอพระองค์ชำระเราให้บริสุทธิ์ ถ้าไม่มีการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ไม่มีการสารภาพบาป ไม่มีการยกโทษบาป และไม่มีการเข้าแผ่นดินสวรรค์ด้วยเช่นเดียวกัน
– ทรงประทานชีวิตใหม่ให้เรา (ยอห์น 3:3)
จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า เราเป็นเหมือนคนที่ตายแล้ว เพราะเราได้ทำบาป (เอเฟซัส 2:1) แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงประทานชีวิตใหม่ให้เราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู พระเยซูบอกว่าเราต้องบังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ เราถึงจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าได้ (ยอห์น 3:5) เราจำเป็นต้องบังเกิดใหม่อีกครั้ง (โดยการต้อนรับพระเยซูเข้ามาในใจ ให้พระองค์ทรงครอบครองชีวิตของเรา) เราเป็นคนชอบธรรมได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา (ทิตัส 3:5) ซึ่งสิ่งนี้เป็นเหมือนของขวัญที่พระเจ้ามอบให้เรา
– ทรงสถิตในผู้เชื่อทุกคน (ยอห์น 14:17)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกคน ดังนั้นร่างกายของเราจึงเป็นพระวิหารของพระเจ้า (1 โครินธ์ 3:16) พระเจ้าทรงรักร่างกายของเรา ดังนั้นเราควรจะรักษาชีวิตของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ใช้ร่างกายของเราเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ (1 โครินธ์ 6:19 – 20)
– ทรงประทานฤทธิ์อำนาจให้เราในการรับใช้พระเจ้า (กิจการ 1:8)
การรับใช้ที่พระเจ้ามอบให้เราทำก็คือบอกเล่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือเราทุกคนเป็นคนบาป พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมาในโลกนี้เพื่อไถ่บาปเราโดยการตายบนไม้กางเขน และในวันที่สามทรงฟื้นขึ้นจากตาย และตอนนี้พระองค์ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์เพื่อเตรียมที่ไว้สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้งเพื่อรับผู้เชื่อทุกคนไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานฤทธานุภาพให้เรา เพื่อให้เราสามารถบอกข่าวประเสริฐนี้ไปยังคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้ เริ่มต้นจากคนที่ใกล้ตัวเรา คนในครอบครัว เพื่อนสนิท คนรู้จัก และคนอื่น ๆ ที่เราพบเจอ เพื่อเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้ง คนเหล่านั้นจะไม่ต้องพินาศในบึงไฟนรกเป็นนิจนิรันดรหลักความจริง