คุณผู้ฟังครับหนุนจิตใจกันนะครับ ด้วยถ้อยคําพระวจนะพระคำของพระเจ้าครับอยู่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ครับ พระธรรมเยเรมีห์ 17 : 7 – 8 ได้กล่าวว่า คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพรคือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระเจ้าก็เป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ําซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลําน้ําเมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัวเพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอและไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้งเพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล คุณฟังครับ คนที่วางใจในพระเจ้านั้นนะครับเป็นผู้ที่เชื่อและเชื่อมั่นว่าพระเจ้าเป็นผู้อํานวยพระพรนะทุกสิ่งทุกอย่างในการดําเนินชีวิตของเราเมื่อเราวางใจและอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์เปรียบเหมือนผู้ที่รดน้ํานะครับให้เราเป็น ต้นไม้ที่เติบโตออกดอกออกผลอย่างรากลึก พร้อมที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างมากมายอย่าลืมนะครับ…
สดุดี 37 : 4 “จงปิติยินดีในพระเจ้าแล้วพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน” ก็ฝากไว้สั้นๆนะครับ วันนี้เลยว่าถ้าเรามีจิตใจที่ชื่นชมยินดีนะอธิษฐานต่อองค์พระเป็นเจ้าในสิ่งใดในเรื่องใดเราสามารถร้องทูลต่อพระองค์ได้และพระเจ้าจะประทานตามใจปรารถนาของเรานะครับให้ทูลขอค่อพระองค์ ด้วยความจริงใจด้วยความหวัง ในองค์พระเยซูคริสต์ นะครับ เชื่อว่าทุกท่านจะได้รับคำตอบอย่างแน่นอนนะครับ ก็ขอฝากกันไว้เพื่อเป็นพลังใจให้กับทุกท่านครับ
คุณฟังครับอยากจะฝาก ถ้อยคําพระวจนะของพระเจ้าครับ ซึ่งบันทึกไว้ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ครับอยู่ในพระธรรม โรม 8 :1-2 “ได้กล่าวว่าเหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทําให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย” คุณฟังครับนี่คือความมั่นใจนะ อาจารย์เปาโลครับได้บอกว่าเมื่อเราวางใจเมื่อเราเชื่อมั่นนะครับ ในพระเยซูคริสต์ กฎต่างๆนะครับ ที่อาจจะลงโทษเราไม่ว่าจะเป็นความผิดบาปที่เราได้กระทําหรือว่าเป็นกฎที่เราไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้นั่นคือกฎทางด้านไฟวิญญาณใช่มั้ยครับ แต่พระเยซูคริสต์เท่านั้นเป็นผู้ที่จะขจัดสิ่งเหล่านั้นไปได้ เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระองค์เพราะทรงด้วยสัญญากับเราว่า…
เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทําให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย
โคโลสีบ 3 :13 จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกันและถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกันก็จงยกโทษให้กันและกันองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทําอย่างนั้นเหมือนกัน วันนี้หากเรามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ไม่สามารถที่จะให้อภัยได้หรือว่าคิดแล้ว เป็นเรื่องที่ที่เป็นความกังวล ก็ขอให้เราที่จะถ้อยทีถ้อยอาศัย ให้เราที่จะให้อภัยต่อการยกโทษให้กันและกันเหมือนคํา ของพระเจ้าที่ได้กล่าวไว้ เรามีความขัดเคืองใจไม่ให้อภัยต่อผู้อื่น องค์พระผู้เจ้าก็ไม่ให้อภัยเราเช่นกัน เพราะฉะนั้นให้เราที่จะผ่อนหนักผ่อนเบาต่อกันและกัน
คุณสามารถนำข่าวดีของพระเยซูไปสู่ผู้คนบนโลกออนไลน์ได้ หากท่านมีภาระใจในการร่วมรับใช้เป็น “อาสาสมัคร” ในด้านต่างๆ เช่น การเขียนสคริปหนุนใจ , การอัดเสียง สร้างคอนเทนต์ ,ร้องเพลง ,เล่นดนตรีสื่อมวลชนทางชีวิตกำลังมองหาอาสาสมัครร่วมรับใช้ในโครงการหากท่านใดสนใจติดต่อเข้ามาในแชกหรือใน Email ขอให้พระเจ้าอวยพระพร
ผู้ที่มีความสําเร็จในชีวิตล้วนเป็นบุคคลที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าเราจะเห็นความร้อนรนและความกระตือรือร้นของคนคนนั้น
ยุทธวิธีจัดการกับความว้าเหว่
คงไม่มีใครปฏิเสธกระมังว่าเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์กับความว้าเหว่ซึ่งเราไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้ ความว้าเหว่คือความรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวใจ แม้จะมีคนมากมายอยู่รอบข้างก็ยังรู้สึกว้าเหว่ได้ และความว้าเหว่เป็น ความรู้สึกหลังจากเจอกระบวนการโศกเศร้า ถ้าไม่รีบจัดการก็จะเข้าสู่ความซึมเศร้าซึ่งเป็นความรู้สึกเศร้าหมอง ว้าเหว่ หรือสิ้นหวัง เป็นต้น
เอลิซาเบ็ธ เอลเลียต นักเขียนคริสเตียนที่มีชื่อเสียงเป็นผู้หนึ่งที่มีประสบการณ์กับความว้าเหว่เธอกล่าวว่า “ ความว้าเหว่เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการเป็นมนุษย์ของเรา ” หมายความว่า การเป็นมนุษย์คือการที่จะรู้สึกว้าเหว่ มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ในปี ค.ศ. 1950 จิม เอลเลียต สามีของเธอพร้อมกับเพื่อนมิชชันนารีอีก 4 คน ได้ถูกสังหารหมู่ขณะพยายามทำการติดต่อกับชนเผ่าหนึ่งในประเทศเอกวาดอร์ หลังจากนั้นเธอแต่งงานใหม่โรคมะเร็งก็มารุมเร้าให้สามีคนที่ 2 ของเธอต้องเสียชีวิตอีก ถึงกระนั้นเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณของเธอให้สั่นคลอนต่อการสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าได้ เธอจึงสามารถเขียนหนังสือชื่อว่า “ ทางเดินแห่งความว้าเหว่ที่ได้อยู่กับฉัน ” หนุนใจผู้คนมากมาย เอาละไหนๆ เราคงหนีความว้าเหว่ไม่พ้น ฉะนั้นเรามาเรียนรู้ยุทธวิธีจัดการกับความว้าเหว่ในทัศนะของ อศจ. เรย์ และแคธี่ จิอันทา กันเลยค่ะ
1. ยอมจำนนกับพระเจ้าว่าเราว้าเหว่ การยอมจำนน หมายถึง การส่งมอบความว้าเหว่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ไม่มีวันละทิ้งเราโดยการอธิษฐาน ทั้งนี้เราต้องเลิกมองหาที่ลี้ภัยอื่นๆ เช่น แช็ตไลน์หาใครสักคน ปิดโทรศัพท์ ปิดโทรทัศน์ และปิดวิทยุ อยู่กับพระเจ้าตามลำพัง
2. แสวงหาพระเจ้า ว่าพระองค์มีพระประสงค์อะไรต่อชีวิตของเรา ? ให้เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้สำหรับความว้าเหว่ เพราะสิ่งนี้นำมาซึ่งการแสวงหาพระเจ้า แล้วเราจะค้นพบว่าความว้าเหว่จะไม่อยู่กับเราตลอดไป เราจะสัมผัสได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเราไม่ได้อยู่ตามลำพัง
3. ไม่ย่อท้อ ความอดทนกับความไม่ย่อท้อเป็นสิ่งคู่กันที่เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความว้าเหว่ แต่การยอมแพ้เป็นอาหารอันโอชะของความว้าเหว่ที่จะทำให้เรามีชีวิตที่ดิ่งลงไปสู่ความตายได้ วิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ยอมแพ้คือการคอยพระเจ้า การคอยเป็นการไว้วางใจ เป็นการพักอยู่และชื่นชมกับวิธีการของพระเจ้า ใช้เวลากับพระองค์และยอมให้พระองค์ทำงานกับเรา แล้วเราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผ่านความว้าเหว่ของเรา
4. รับใช้คนอื่นที่โศกเศร้า พูดได้แต่ทำยากมาก แต่นี่เป็นยุทธวิธีที่จะพิชิตความว้าเหว่ คือการรับใช้คนอื่นแทนที่จะอยู่คนเดียว การออกไปช่วยเหลือคนอื่นทำให้เรารู้ว่ามีผู้คนอีกมากมายที่มีความทุกข์โศกยิ่งกว่าเรา เรามีส่วนทนทุกข์กับพระคริสต์มากฉันใด ความชูใจของเราเนื่องจากพระคริสต์ก็มากฉันนั้น
คงไม่มีใครอยากได้ยินและอยากเดินมาเจอเหตุการณ์ที่สิ้นหวังซึ่งทำให้เกิดความท้อแท้ใจ แต่ก่อนจะเกิดความท้อใจมันต้องมีอะไรบางอย่างทำให้เกิดอารมณ์นี้ขึ้นมา คำตอบก็คือความคิดนั่นเอง ความคิดเป็นต้นตอที่ส่งสัญญาณไปสู่ต่อมอารมณ์แล้วนำไปสู่การเลือกตัดสินใจบางอย่าง ซึ่งก็มีอยู่ 2 เส้นทางก็คือ หยุดอยู่กับที่หรือจะยังก้าวเดินต่อไปด้วยความเชื่อว่าการก้าวเดินต่อไปนั้น ย่อมดีกว่าการหยุดอยู่กับที่แล้วปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความทุกข์ทรมานนั้น
Recent Comments